แนวข้อสอบ วิชาการวัดและประเมินผลการศึกษา (50 ข้อ) พร้อมเฉลย
ส่วนที่ 1: ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการวัดและประเมินผล
1. ข้อใดเป็นความหมายของการวัดผล (Measurement)
ก. การตัดสินคุณค่าของสิ่งที่วัด
ข. กระบวนการกำหนดตัวเลขให้กับวัตถุหรือเหตุการณ์ตามกฎเกณฑ์
ค. การเปรียบเทียบผลการเรียนรู้กับเกณฑ์ที่กำหนด
ง. การตรวจสอบว่าบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้หรือไม่
2. ข้อใดกล่าวถึงการประเมินผล (Evaluation) ได้ถูกต้องที่สุด
ก. เป็นการตรวจสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเท่านั้น
ข. เป็นกระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณ
ค. เป็นการตัดสินคุณค่าของสิ่งที่วัดโดยเทียบกับเกณฑ์
ง. เป็นการให้คะแนนจากการทดสอบเท่านั้น
3. ข้อใดไม่ใช่คุณลักษณะของเครื่องมือวัดผลที่ดี
ก. ความเที่ยงตรง (Validity)
ข. ความเชื่อมั่น (Reliability)
ค. ความยาก (Difficulty)
ง. ความเป็นปรนัย (Objectivity)
4. ข้อใดเป็นเครื่องมือการวัดผลในด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain)
ก. แบบสังเกตพฤติกรรม
ข. แบบวัดเจตคติ
ค. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
ง. แบบประเมินทักษะปฏิบัติ
5. การพิจารณาว่านักเรียนสอบได้คะแนน “ผ่าน” หรือ “ไม่ผ่าน” จัดเป็นการประเมินผลแบบใด
ก. การประเมินผลแบบอิงกลุ่ม
ข. การประเมินผลแบบอิงเกณฑ์
ค. การประเมินผลแบบย่อย
ง. การประเมินผลแบบรวม
6. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของการวัดและประเมินผล
ก. ช่วยพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน
ข. ช่วยให้ครูทราบพัฒนาการของผู้เรียน
ค. ช่วยในการจัดลำดับและคัดแยกผู้เรียน
ง. ช่วยให้ผู้เรียนทราบความสามารถของตนเอง
7. “การตัดสินผลการเรียนโดยนำคะแนนของนักเรียนทั้งหมดมาเรียงลำดับแล้วแบ่งกลุ่มตามช่วงคะแนน” เป็นการประเมินผลแบบใด
ก. การประเมินผลแบบอิงเกณฑ์
ข. การประเมินผลแบบอิงกลุ่ม
ค. การประเมินผลตามสภาพจริง
ง. การประเมินผลแบบย่อย
8. การวัดและประเมินผลระหว่างเรียน (Formative Assessment) มีจุดมุ่งหมายสำคัญคือข้อใด
ก. เพื่อตัดสินผลการเรียนปลายภาคเรียน
ข. เพื่อปรับปรุงการเรียนการสอนระหว่างดำเนินการ
ค. เพื่อจัดอันดับผู้เรียนในชั้นเรียน
ง. เพื่อรายงานผลการเรียนแก่ผู้ปกครอง
9. Bloom’s Taxonomy จัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย (ฉบับปรับปรุง) เรียงลำดับจากง่ายไปยากได้อย่างไร
ก. จำ เข้าใจ ประยุกต์ใช้ วิเคราะห์ ประเมินค่า สร้างสรรค์
ข. เข้าใจ จำ ประยุกต์ใช้ วิเคราะห์ สร้างสรรค์ ประเมินค่า
ค. จำ เข้าใจ วิเคราะห์ ประยุกต์ใช้ ประเมินค่า สร้างสรรค์
ง. จำ เข้าใจ ประยุกต์ใช้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่า
10. ค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบทดสอบมีค่าตั้งแต่เท่าใด
ก. -1.00 ถึง +1.00
ข. 0 ถึง 1.00
ค. -0.50 ถึง +0.50
ง. 0 ถึง 100
ส่วนที่ 2: เครื่องมือวัดและประเมินผล
11. เครื่องมือวัดผลที่เหมาะสมในการวัดทักษะการปฏิบัติคือข้อใด
ก. แบบทดสอบปรนัย
ข. แบบวัดเจตคติ
ค. แบบสังเกตพฤติกรรม
ง. แบบประเมินการปฏิบัติงาน (Performance Assessment)
12. ข้อใดเป็นข้อดีของแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ
ก. ตรวจให้คะแนนได้ง่ายและรวดเร็ว
ข. สร้างข้อสอบได้ง่ายกว่าแบบอัตนัย
ค. วัดความคิดสร้างสรรค์ได้ดี
ง. ผู้เรียนไม่สามารถเดาคำตอบได้
13. ข้อสอบที่มีค่าความยาก (p) เท่ากับ 0.85 แสดงว่าเป็นข้อสอบอย่างไร
ก. ข้อสอบง่ายมาก
ข. ข้อสอบยากมาก
ค. ข้อสอบที่มีความยากปานกลาง
ง. ข้อสอบที่มีอำนาจจำแนกสูง
14. เครื่องมือชนิดใดที่เหมาะสมในการวัดเจตคติ (Attitude) ของผู้เรียน
ก. แบบทดสอบความรู้
ข. แบบสังเกต
ค. มาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale)
ง. แบบทดสอบความถนัด
15. การวิเคราะห์ข้อสอบรายข้อ (Item Analysis) ประกอบด้วยการวิเคราะห์ด้านใดบ้าง
ก. ความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่น
ข. ความยากและอำนาจจำแนก
ค. ความเป็นปรนัยและความครอบคลุม
ง. ความเที่ยงตรงและความยาก
16. ถ้าต้องการทราบพัฒนาการของผู้เรียนตั้งแต่ก่อนเรียนจนจบบทเรียน ควรใช้วิธีการประเมินผลแบบใด
ก. การประเมินผลก่อนเรียน (Pre-test)
ข. การประเมินผลหลังเรียน (Post-test)
ค. การประเมินผลความก้าวหน้า (Growth Score)
ง. การประเมินผลรวม (Summative Evaluation)
17. แบบทดสอบที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.92 และอีกฉบับมีค่าความเชื่อมั่น 0.75 ข้อใดกล่าวถูกต้อง
ก. แบบทดสอบที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.92 มีคุณภาพดีกว่า
ข. แบบทดสอบที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.75 มีคุณภาพดีกว่า
ค. แบบทดสอบทั้งสองฉบับมีคุณภาพเท่ากัน
ง. ไม่สามารถเปรียบเทียบคุณภาพได้จากค่าความเชื่อมั่นเพียงอย่างเดียว
18. แฟ้มสะสมงาน (Portfolio) เป็นเครื่องมือวัดและประเมินผลที่เหมาะสมกับการประเมินแบบใด
ก. การประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment)
ข. การประเมินโดยใช้แบบทดสอบมาตรฐาน
ค. การประเมินแบบอิงกลุ่ม
ง. การประเมินโดยใช้ข้อสอบปรนัย
19. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของรูบริค (Rubric)
ก. เป็นเครื่องมือที่ระบุเกณฑ์การประเมินที่ชัดเจน
ข. ใช้ได้เฉพาะการประเมินผลงานเขียนเท่านั้น
ค. แบ่งระดับคุณภาพของงานออกเป็นหลายระดับ
ง. ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจเกณฑ์การประเมินล่วงหน้า
20. ค่าอำนาจจำแนก (Discrimination) ของข้อสอบที่ดีควรมีค่าเท่าใด
ก. -1.00 ถึง 0.00
ข. 0.00 ถึง 0.20
ค. 0.20 ขึ้นไป
ง. -0.20 ถึง +0.20
ส่วนที่ 3: ประเภทของการวัดและประเมินผล
21. ข้อใดเป็นการประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment)
ก. การสอบปลายภาคด้วยข้อสอบปรนัย
ข. การให้นักเรียนทำโครงงานเพื่อแก้ปัญหาในชุมชน
ค. การวัดความรู้ด้วยแบบทดสอบมาตรฐาน
ง. การประเมินโดยใช้ค่าเฉลี่ยของกลุ่มเป็นเกณฑ์
22. การประเมินโดยเพื่อน (Peer Assessment) มีประโยชน์อย่างไร
ก. ลดภาระงานของครูผู้สอน
ข. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมและการเรียนรู้ร่วมกัน
ค. ให้คะแนนที่เที่ยงตรงกว่าการประเมินโดยครู
ง. ประหยัดเวลาในการประเมินผล
23. การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจำแนกตามจุดมุ่งหมาย แบ่งเป็นกี่ด้าน
ก. 2 ด้าน
ข. 3 ด้าน
ค. 4 ด้าน
ง. 5 ด้าน
24. ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) หมายถึง
ก. ความสอดคล้องระหว่างคะแนนจากการวัดสองครั้ง
ข. ความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับเนื้อหาและจุดประสงค์
ค. ความสอดคล้องระหว่างเกณฑ์การให้คะแนนกับการปฏิบัติจริง
ง. ความสอดคล้องระหว่างผู้ประเมินสองคนขึ้นไป
25. ข้อใดเป็นวิธีหาความเชื่อมั่นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ก. การหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha)
ข. การหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC)
ค. การหาค่าความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้าง
ง. การหาค่าความเที่ยงตรงเชิงพยากรณ์
26. การประเมินตนเอง (Self-Assessment) มีข้อจำกัดในด้านใด
ก. ไม่สามารถพัฒนาทักษะการคิดของผู้เรียนได้
ข. อาจขาดความเที่ยงตรงเนื่องจากความลำเอียงของผู้ประเมิน
ค. ใช้เวลาในการประเมินมากเกินไป
ง. ไม่สามารถนำมาใช้กับนักเรียนระดับประถมศึกษาได้
27. การนำผลการประเมินมาใช้พัฒนาการเรียนการสอนเรียกว่าอะไร
ก. การประเมินเพื่อการเรียนรู้ (Assessment for Learning)
ข. การประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment)
ค. การประเมินรวม (Summative Assessment)
ง. การประเมินคุณภาพการศึกษา (Educational Quality Assessment)
28. ข้อใดไม่ใช่เครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับการประเมินตามสภาพจริง
ก. แบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรม
ข. แฟ้มสะสมงาน (Portfolio)
ค. แบบทดสอบปรนัยแบบถูก-ผิด
ง. การประเมินจากโครงงาน (Project-based Assessment)
29. ข้อใดเป็นเกณฑ์การให้คะแนนแบบองค์รวม (Holistic Rubric)
ก. แบ่งการประเมินออกเป็นหลายประเด็นย่อย แต่ละประเด็นมีเกณฑ์การให้คะแนนที่ชัดเจน
ข. พิจารณาผลงานในภาพรวม และให้คะแนนเป็นระดับคุณภาพ
ค. ให้คะแนนเป็น “ผ่าน” หรือ “ไม่ผ่าน” เท่านั้น
ง. ประเมินเฉพาะผลลัพธ์สุดท้าย ไม่พิจารณากระบวนการ
30. หลักการสำคัญของการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยคือข้อใด
ก. ต้องใช้แบบทดสอบมาตรฐานเพื่อให้ได้ผลที่เที่ยงตรง
ข. ประเมินเฉพาะด้านความรู้และทักษะที่จำเป็น
ค. ประเมินตามสภาพจริง เน้นการสังเกตพฤติกรรมอย่างต่อเนื่อง
ง. เปรียบเทียบพัฒนาการเด็กกับเกณฑ์มาตรฐานสากล
ส่วนที่ 4: การสร้างเครื่องมือวัดและประเมินผล
31. ขั้นตอนแรกของการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคือข้อใด
ก. เขียนข้อสอบตามตารางวิเคราะห์หลักสูตร
ข. กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้
ค. วิเคราะห์หลักสูตรและเนื้อหา
ง. กำหนดรูปแบบของข้อสอบ
32. ข้อใดเป็นการออกแบบข้อสอบวัดระดับความคิดขั้นสูง
ก. จงบอกความหมายของการวัดผลการศึกษา
ข. จงอธิบายประโยชน์ของการวัดผลการศึกษา
ค. จงวิเคราะห์ปัญหาการวัดผลในชั้นเรียนและเสนอแนวทางแก้ไข
ง. โรงเรียนแห่งหนึ่งมีครู 20 คน นักเรียน 500 คน อัตราส่วนครูต่อนักเรียนเป็นเท่าใด
33. การสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร (Test Blueprint) ประกอบด้วยองค์ประกอบใดบ้าง
ก. เนื้อหา พฤติกรรมที่ต้องการวัด และจำนวนข้อสอบ
ข. เนื้อหา ระดับความยาก และเวลาที่ใช้ในการทำข้อสอบ
ค. จุดประสงค์การเรียนรู้ รูปแบบข้อสอบ และเกณฑ์การให้คะแนน
ง. เนื้อหา รูปแบบข้อสอบ และค่าความเชื่อมั่น
34. ข้อใดเป็นหลักการเขียนคำถามแบบเลือกตอบ (Multiple Choice) ที่ดี
ก. ตัวเลือกควรมีความยาวแตกต่างกัน เพื่อความหลากหลาย
ข. คำถามควรมีลักษณะเป็นการถามโดยตรงหรือเป็นประโยคสมบูรณ์
ค. ควรมีตัวเลือกที่ถูกต้องหลายข้อในแต่ละข้อ
ง. ควรใช้ตัวเลือก “ถูกทุกข้อ” หรือ “ผิดทุกข้อ” เสมอ
35. ตัวถูกในข้อสอบแบบเลือกตอบควรมีลักษณะอย่างไร
ก. ควรอยู่ในตำแหน่งเดียวกันเสมอ เช่น เป็นข้อ ก. ทุกข้อ
ข. ควรกระจายตำแหน่งไปทุกตัวเลือกอย่างสม่ำเสมอ
ค. ควรเป็นตัวเลือกที่ยาวที่สุดเสมอ
ง. ควรเป็นตัวเลือกที่อยู่ตรงกลางเสมอ
36. ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ที่ยอมรับได้มีค่าเท่าใด
ก. -1.00 ถึง 0.00
ข. 0.00 ถึง 0.49
ค. 0.50 ถึง 1.00
ง. 0.01 ถึง 0.99
37. ในการสร้างข้อสอบอัตนัย สิ่งใดสำคัญที่สุด
ก. ความยาวของคำถาม
ข. ความชัดเจนของคำถามและเกณฑ์การให้คะแนน
ค. จำนวนข้อที่เหมาะสม
ง. การกำหนดเวลาในการทำข้อสอบ
38. การตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบด้วยวิธี Known Group Technique เป็นการตรวจสอบคุณภาพด้านใด
ก. ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา
ข. ความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้าง
ค. ความเที่ยงตรงตามสภาพ
ง. ความเชื่อมั่น
39. ในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ควรสร้างจำนวนข้อมากกว่าที่ต้องการใช้จริงประมาณร้อยละเท่าใด
ก. 10-15%
ข. 20-25%
ค. 30-50%
ง. 50-75%
40. วิธีการหาความเชื่อมั่นแบบแบ่งครึ่งข้อสอบ (Split-Half Method) มีข้อจำกัดในด้านใด
ก. ใช้ได้เฉพาะกับแบบทดสอบที่มีตัวเลือกเท่านั้น
ข. ได้รับผลกระทบจากความยาวของแบบทดสอบ
ค. ไม่สามารถใช้กับแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ได้
ง. ไม่สามารถใช้กับแบบทดสอบที่มีค่าความยากต่างกัน
ส่วนที่ 5: การประยุกต์ใช้การวัดและประเมินผลในชั้นเรียน
41. การประเมินผลที่สอดคล้องกับแนวคิดเรื่องการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 คือข้อใด
ก. การใช้แบบทดสอบมาตรฐานเป็นหลัก
ข. การประเมินผลโดยเน้นการจดจำเนื้อหา
ค. การประเมินตามสภาพจริงที่เน้นทักษะการคิด การแก้ปัญหา และการทำงานร่วมกัน
ง. การประเมินโดยใช้ข้อสอบปรนัยทุกรายวิชา
42. ข้อใดคือประโยชน์ของการให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) ในการประเมินผล
ก. ช่วยจัดลำดับผู้เรียนตามความสามารถ
ข. ช่วยให้ผู้เรียนทราบจุดเด่น จุดด้อยและแนวทางการพัฒนา
ค. ช่วยให้ครูประหยัดเวลาในการสอนซ่อมเสริม
ง. ช่วยในการตัดสินผลการเรียนปลายภาค
43. การนำผลการประเมินมาใช้ปรับปรุงการเรียนการสอนเป็นแนวคิดของการประเมินรูปแบบใด
ก. การประเมินแบบอิงกลุ่ม
ข. การประเมินรวม (Summative Evaluation)
ค. การประเมินย่อย (Formative Evaluation)
ง. การประเมินโดยใช้แบบทดสอบมาตรฐาน
44. “การจัดทำแฟ้มสะสมงานของผู้เรียนที่แสดงถึงพัฒนาการและความก้าวหน้าในการเรียนรู้” มีความสอดคล้องกับหลักการประเมินผลข้อใด
ก. การประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment)
ข. การประเมินแบบอิงเกณฑ์ (Criterion-Referenced Assessment)
ค. การประเมินแบบอิงกลุ่ม (Norm-Referenced Assessment)
ง. การประเมินโดยใช้แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Test)
45. ข้อใดเป็นการนำผลการประเมินไปใช้อย่างเหมาะสม
ก. ครูนำผลการสอบระหว่างภาคมาบอกให้ผู้ปกครองทราบโดยการเปรียบเทียบกับเพื่อนในชั้น
ข. ครูนำผลการทดสอบมาจัดกลุ่มนักเรียนตามความสามารถและไม่เปลี่ยนกลุ่มตลอดปี
ค. ครูนำผลการทดสอบย่อยมาวิเคราะห์หาจุดบกพร่องและจัดกิจกรรมซ่อมเสริม
ง. ครูนำผลการทดสอบปลายภาคมาวิจารณ์นักเรียนที่มีคะแนนต่ำหน้าชั้นเรียน
46. การประเมินผลเพื่อวินิจฉัย (Diagnostic Evaluation) มีจุดมุ่งหมายหลักคือข้อใด
ก. เพื่อตรวจสอบความพร้อมของผู้เรียนก่อนเริ่มบทเรียน
ข. เพื่อค้นหาจุดบกพร่องและสาเหตุของปัญหาในการเรียนรู้
ค. เพื่อตัดสินผลการเรียนเมื่อจบบทเรียนหรือรายวิชา
ง. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถของผู้เรียนกับเพื่อนในชั้น
47. การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการวัดและประเมินผลมีประโยชน์อย่างไร
ก. ทำให้ได้ผลการประเมินที่เที่ยงตรงมากขึ้นเสมอ
ข. ลดภาระงานของครูและประมวลผลได้รวดเร็ว
ค. ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้การประเมินตามสภาพจริง
ง. ทำให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นโดยอัตโนมัติ
48. ข้อใดเป็นปัญหาที่พบบ่อยในการวัดและประเมินผลในชั้นเรียน
ก. การใช้วิธีการประเมินที่หลากหลายเกินไป
ข. การเน้นประเมินตามสภาพจริงมากเกินไป
ค. การวัดและประเมินไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้
ง. การให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมินมากเกินไป
49. นวัตกรรมการประเมินผลที่สอดคล้องกับการจัดการเรียนรู้ในยุคปัจจุบันคือข้อใด
ก. การใช้แบบทดสอบมาตรฐานเพียงอย่างเดียว
ข. การประเมินโดยครูเป็นผู้ประเมินฝ่ายเดียว
ค. การใช้การประเมินแบบอิงกลุ่มเป็นหลัก
ง. การประเมินผลแบบผสมผสานและการประเมินด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล
50. การประเมินเพื่อการเรียนรู้ (Assessment for Learning) แตกต่างจากการประเมินผลการเรียนรู้ (Assessment of Learning) อย่างไร
ก. การประเมินเพื่อการเรียนรู้เน้นการนำผลมาพัฒนาการเรียนการสอนระหว่างทาง ส่วนการประเมินผลการเรียนรู้เน้นการตัดสินผลเมื่อสิ้นสุดการเรียน
ข. การประเมินเพื่อการเรียนรู้ใช้แบบทดสอบอัตนัย ส่วนการประเมินผลการเรียนรู้ใช้แบบทดสอบปรนัย
ค. การประเมินเพื่อการเรียนรู้ทำโดยผู้เรียน ส่วนการประเมินผลการเรียนรู้ทำโดยครู
ง. การประเมินเพื่อการเรียนรู้ใช้เกณฑ์การประเมินแบบอิงกลุ่ม ส่วนการประเมินผลการเรียนรู้ใช้เกณฑ์การประเมินแบบอิงเกณฑ์
Review ลูกค้า
เฉลยแนวข้อสอบการวัดและประเมินผลการศึกษา
ส่วนที่ 1: ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการวัดและประเมินผล
1. ข้อใดเป็นความหมายของการวัดผล (Measurement)
ตอบ ข. กระบวนการกำหนดตัวเลขให้กับวัตถุหรือเหตุการณ์ตามกฎเกณฑ์ คำอธิบาย: การวัดผลเป็นกระบวนการที่ใช้เครื่องมือวัดเพื่อให้ได้ตัวเลขหรือสัญลักษณ์แทนปริมาณหรือคุณภาพของสิ่งที่ต้องการวัด โดยปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้
2. ข้อใดกล่าวถึงการประเมินผล (Evaluation) ได้ถูกต้องที่สุด
ตอบ ค. เป็นการตัดสินคุณค่าของสิ่งที่วัดโดยเทียบกับเกณฑ์ คำอธิบาย: การประเมินผลเป็นกระบวนการตัดสินคุณค่าของสิ่งที่วัดโดยนำผลที่ได้จากการวัดไปเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้
3. ข้อใดไม่ใช่คุณลักษณะของเครื่องมือวัดผลที่ดี
ตอบ ค. ความยาก (Difficulty) คำอธิบาย: คุณลักษณะของเครื่องมือวัดผลที่ดีประกอบด้วย ความเที่ยงตรง ความเชื่อมั่น ความเป็นปรนัย ความยุติธรรม และอำนาจจำแนก แต่ความยากเป็นคุณลักษณะของข้อสอบแต่ละข้อ ไม่ใช่คุณลักษณะของเครื่องมือวัดผลโดยรวม
4. ข้อใดเป็นเครื่องมือการวัดผลในด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain)
ตอบ ค. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ คำอธิบาย: แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดความรู้ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การประเมินค่า และการสร้างสรรค์ ซึ่งอยู่ในด้านพุทธิพิสัย
5. การพิจารณาว่านักเรียนสอบได้คะแนน “ผ่าน” หรือ “ไม่ผ่าน” จัดเป็นการประเมินผลแบบใด
ตอบ ข. การประเมินผลแบบอิงเกณฑ์ คำอธิบาย: การประเมินผลแบบอิงเกณฑ์เป็นการประเมินที่นำผลการวัดมาเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ไม่ได้นำไปเปรียบเทียบกับคะแนนของผู้เรียนคนอื่น
6. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของการวัดและประเมินผล
ตอบ ค. ช่วยในการจัดลำดับและคัดแยกผู้เรียน คำอธิบาย: การวัดและประเมินผลมีไว้เพื่อพัฒนาผู้เรียนและการเรียนการสอน ไม่ใช่มีไว้เพื่อจัดลำดับหรือคัดแยกผู้เรียนเป็นหลัก แม้ว่าอาจนำไปใช้ในการจัดกลุ่มเพื่อพัฒนาได้
7. “การตัดสินผลการเรียนโดยนำคะแนนของนักเรียนทั้งหมดมาเรียงลำดับแล้วแบ่งกลุ่มตามช่วงคะแนน” เป็นการประเมินผลแบบใด
ตอบ ข. การประเมินผลแบบอิงกลุ่ม คำอธิบาย: การประเมินผลแบบอิงกลุ่มเป็นการนำคะแนนของผู้เรียนมาเปรียบเทียบกันภายในกลุ่ม แล้วตัดสินผลการเรียนตามตำแหน่งของคะแนนในกลุ่ม
8. การวัดและประเมินผลระหว่างเรียน (Formative Assessment) มีจุดมุ่งหมายสำคัญคือข้อใด
ตอบ ข. เพื่อปรับปรุงการเรียนการสอนระหว่างดำเนินการ คำอธิบาย: การวัดและประเมินผลระหว่างเรียนมีจุดมุ่งหมายเพื่อตรวจสอบความก้าวหน้าของผู้เรียนและนำผลมาปรับปรุงการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในระหว่างที่กระบวนการเรียนการสอนยังดำเนินอยู่
9. Bloom’s Taxonomy จัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย (ฉบับปรับปรุง) เรียงลำดับจากง่ายไปยากได้อย่างไร
ตอบ ก. จำ เข้าใจ ประยุกต์ใช้ วิเคราะห์ ประเมินค่า สร้างสรรค์ คำอธิบาย: Bloom’s Taxonomy ฉบับปรับปรุงโดย Anderson และ Krathwohl (2001) ได้จัดลำดับพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยจากง่ายไปยากคือ จำ เข้าใจ ประยุกต์ใช้ วิเคราะห์ ประเมินค่า และสร้างสรรค์
10. ค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบทดสอบมีค่าตั้งแต่เท่าใด
ตอบ ข. 0 ถึง 1.00 คำอธิบาย: ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบมีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 1.00 โดย 0 หมายถึงไม่มีความเชื่อมั่นเลย และ 1.00 หมายถึงมีความเชื่อมั่นสมบูรณ์
ส่วนที่ 2: เครื่องมือวัดและประเมินผล
11. เครื่องมือวัดผลที่เหมาะสมในการวัดทักษะการปฏิบัติคือข้อใด
ตอบ ง. แบบประเมินการปฏิบัติงาน (Performance Assessment) คำอธิบาย: แบบประเมินการปฏิบัติงานเป็นเครื่องมือที่ใช้วัดความสามารถในการปฏิบัติงานของผู้เรียน โดยให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง และมีการประเมินตามสภาพจริง
12. ข้อใดเป็นข้อดีของแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ
ตอบ ก. ตรวจให้คะแนนได้ง่ายและรวดเร็ว คำอธิบาย: แบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบมีข้อดีคือตรวจให้คะแนนได้ง่าย รวดเร็ว และมีความเป็นปรนัย (Objectivity) สูง
13. ข้อสอบที่มีค่าความยาก (p) เท่ากับ 0.85 แสดงว่าเป็นข้อสอบอย่างไร
ตอบ ก. ข้อสอบง่ายมาก คำอธิบาย: ค่าความยาก (p) มีค่าตั้งแต่ 0-1 โดยค่าที่เข้าใกล้ 1 แสดงว่าข้อสอบง่าย ค่า p = 0.85 หมายความว่ามีผู้ตอบถูก 85% ซึ่งถือว่าเป็นข้อสอบที่ง่ายมาก
14. เครื่องมือชนิดใดที่เหมาะสมในการวัดเจตคติ (Attitude) ของผู้เรียน
ตอบ ค. มาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) คำอธิบาย: มาตราส่วนประมาณค่าเป็นเครื่องมือที่นิยมใช้ในการวัดเจตคติ ความคิดเห็น ความรู้สึก หรือความเชื่อของบุคคลที่มีต่อสิ่งต่างๆ
15. การวิเคราะห์ข้อสอบรายข้อ (Item Analysis) ประกอบด้วยการวิเคราะห์ด้านใดบ้าง
ตอบ ข. ความยากและอำนาจจำแนก คำอธิบาย: การวิเคราะห์ข้อสอบรายข้อประกอบด้วยการวิเคราะห์ค่าความยาก (Difficulty) และค่าอำนาจจำแนก (Discrimination) ของข้อสอบแต่ละข้อ
16. ถ้าต้องการทราบพัฒนาการของผู้เรียนตั้งแต่ก่อนเรียนจนจบบทเรียน ควรใช้วิธีการประเมินผลแบบใด
ตอบ ค. การประเมินผลความก้าวหน้า (Growth Score) คำอธิบาย: การประเมินผลความก้าวหน้าเป็นการประเมินที่ดูพัฒนาการของผู้เรียนโดยเปรียบเทียบผลก่อนเรียนและหลังเรียน หรือระหว่างช่วงเวลาต่างๆ ของการเรียน
17. แบบทดสอบที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.92 และอีกฉบับมีค่าความเชื่อมั่น 0.75 ข้อใดกล่าวถูกต้อง
ตอบ ก. แบบทดสอบที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.92 มีคุณภาพดีกว่า คำอธิบาย: ค่าความเชื่อมั่นยิ่งเข้าใกล้ 1.00 แสดงว่าแบบทดสอบมีความเชื่อมั่นสูง ดังนั้นแบบทดสอบที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.92 จึงมีคุณภาพด้านความเชื่อมั่นดีกว่าแบบทดสอบที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.75
18. แฟ้มสะสมงาน (Portfolio) เป็นเครื่องมือวัดและประเมินผลที่เหมาะสมกับการประเมินแบบใด
ตอบ ก. การประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment) คำอธิบาย: แฟ้มสะสมงานเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ในการประเมินตามสภาพจริง ซึ่งเน้นการประเมินจากผลงาน กระบวนการ และพัฒนาการของผู้เรียนตามสภาพความเป็นจริง
19. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของรูบริค (Rubric)
ตอบ ข. ใช้ได้เฉพาะการประเมินผลงานเขียนเท่านั้น คำอธิบาย: รูบริคสามารถใช้ประเมินงานได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ได้จำกัดเฉพาะผลงานเขียนเท่านั้น เช่น ใช้ประเมินการนำเสนอ โครงงาน การปฏิบัติงาน ฯลฯ
20. ค่าอำนาจจำแนก (Discrimination) ของข้อสอบที่ดีควรมีค่าเท่าใด
ตอบ ค. 0.20 ขึ้นไป คำอธิบาย: ค่าอำนาจจำแนกที่ดีควรมีค่าตั้งแต่ 0.20 ขึ้นไป ซึ่งแสดงว่าข้อสอบนั้นสามารถจำแนกผู้เรียนที่เก่งและอ่อนได้ดี
ส่วนที่ 3: ประเภทของการวัดและประเมินผล
21. ข้อใดเป็นการประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment)
ตอบ ข. การให้นักเรียนทำโครงงานเพื่อแก้ปัญหาในชุมชน คำอธิบาย: การประเมินตามสภาพจริงเน้นการประเมินจากการปฏิบัติงานจริงหรือคล้ายจริง โดยให้นักเรียนได้ลงมือทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง เช่น การทำโครงงานเพื่อแก้ปัญหาในชุมชน
22. การประเมินโดยเพื่อน (Peer Assessment) มีประโยชน์อย่างไร
ตอบ ข. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมและการเรียนรู้ร่วมกัน คำอธิบาย: การประเมินโดยเพื่อนช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการประเมิน เรียนรู้จากการให้และรับข้อมูลย้อนกลับ และพัฒนาทักษะการทำงานร่วมกัน
23. การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจำแนกตามจุดมุ่งหมาย แบ่งเป็นกี่ด้าน
ตอบ ข. 3 ด้าน คำอธิบาย: การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามจุดมุ่งหมายของ Bloom แบ่งเป็น 3 ด้าน คือ ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) ด้านจิตพิสัย (Affective Domain) และด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain)
24. ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) หมายถึง
ตอบ ข. ความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับเนื้อหาและจุดประสงค์ คำอธิบาย: ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาหมายถึงคุณภาพของเครื่องมือวัดที่สามารถวัดได้ตรงและครอบคลุมเนื้อหาและจุดประสงค์ที่ต้องการวัด
25. ข้อใดเป็นวิธีหาความเชื่อมั่นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ตอบ ก. การหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha) คำอธิบาย: การหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเป็นวิธีการหาความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่นิยมใช้กัน โดยเฉพาะกับข้อสอบที่มีการให้คะแนนแบบหลายค่า
26. การประเมินตนเอง (Self-Assessment) มีข้อจำกัดในด้านใด
ตอบ ข. อาจขาดความเที่ยงตรงเนื่องจากความลำเอียงของผู้ประเมิน คำอธิบาย: การประเมินตนเองอาจมีข้อจำกัดในด้านความเที่ยงตรง เนื่องจากผู้ประเมินอาจมีความลำเอียงในการประเมินตนเอง เช่น ประเมินตนเองสูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริง
27. การนำผลการประเมินมาใช้พัฒนาการเรียนการสอนเรียกว่าอะไร
ตอบ ก. การประเมินเพื่อการเรียนรู้ (Assessment for Learning) คำอธิบาย: การประเมินเพื่อการเรียนรู้เป็นแนวคิดที่เน้นการนำผลการประเมินมาใช้พัฒนาการเรียนการสอนและช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
28. ข้อใดไม่ใช่เครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับการประเมินตามสภาพจริง
ตอบ ค. แบบทดสอบปรนัยแบบถูก-ผิด คำอธิบาย: แบบทดสอบปรนัยแบบถูก-ผิดเป็นการวัดที่เน้นความจำและความเข้าใจ ไม่ได้วัดการปฏิบัติงานจริงหรือสภาพจริง จึงไม่เหมาะสมสำหรับการประเมินตามสภาพจริง
29. ข้อใดเป็นเกณฑ์การให้คะแนนแบบองค์รวม (Holistic Rubric)
ตอบ ข. พิจารณาผลงานในภาพรวม และให้คะแนนเป็นระดับคุณภาพ คำอธิบาย: เกณฑ์การให้คะแนนแบบองค์รวมเป็นการพิจารณาคุณภาพของงานในภาพรวม และให้คะแนนหรือระดับคุณภาพเป็นภาพรวม ไม่แยกพิจารณาเป็นประเด็นย่อยๆ
30. หลักการสำคัญของการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยคือข้อใด
ตอบ ค. ประเมินตามสภาพจริง เน้นการสังเกตพฤติกรรมอย่างต่อเนื่อง คำอธิบาย: การประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยควรเป็นการประเมินตามสภาพจริง โดยเน้นการสังเกตพฤติกรรมของเด็กอย่างต่อเนื่องในสภาพแวดล้อมและกิจกรรมที่เป็นธรรมชาติ
ส่วนที่ 4: การสร้างเครื่องมือวัดและประเมินผล
31. ขั้นตอนแรกของการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคือข้อใด
ตอบ ค. วิเคราะห์หลักสูตรและเนื้อหา คำอธิบาย: ขั้นตอนแรกของการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ คือ การวิเคราะห์หลักสูตรและเนื้อหา เพื่อให้ทราบว่าเนื้อหาใดบ้างที่ต้องนำมาสร้างข้อสอบ และมีจุดประสงค์การเรียนรู้อะไรบ้าง
32. ข้อใดเป็นการออกแบบข้อสอบวัดระดับความคิดขั้นสูง
ตอบ ค. จงวิเคราะห์ปัญหาการวัดผลในชั้นเรียนและเสนอแนวทางแก้ไข คำอธิบาย: ข้อสอบที่ให้วิเคราะห์ปัญหาและเสนอแนวทางแก้ไขเป็นการวัดความคิดขั้นสูง คือ ระดับการวิเคราะห์ การประเมินค่า และการสร้างสรรค์
33. การสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร (Test Blueprint) ประกอบด้วยองค์ประกอบใดบ้าง
ตอบ ก. เนื้อหา พฤติกรรมที่ต้องการวัด และจำนวนข้อสอบ คำอธิบาย: ตารางวิเคราะห์หลักสูตรประกอบด้วยเนื้อหาที่ต้องการวัด พฤติกรรมที่ต้องการวัด (เช่น จำ เข้าใจ นำไปใช้ ฯลฯ) และจำนวนข้อสอบที่จะออกในแต่ละเนื้อหาและพฤติกรรม
34. ข้อใดเป็นหลักการเขียนคำถามแบบเลือกตอบ (Multiple Choice) ที่ดี
ตอบ ข. คำถามควรมีลักษณะเป็นการถามโดยตรงหรือเป็นประโยคสมบูรณ์ คำอธิบาย: คำถามแบบเลือกตอบที่ดีควรมีความชัดเจน ถามโดยตรง หรือเป็นประโยคคำถามที่สมบูรณ์ เพื่อให้ผู้ตอบเข้าใจได้ตรงกัน
35. ตัวถูกในข้อสอบแบบเลือกตอบควรมีลักษณะอย่างไร
ตอบ ข. ควรกระจายตำแหน่งไปทุกตัวเลือกอย่างสม่ำเสมอ คำอธิบาย: ตัวถูกในข้อสอบแบบเลือกตอบควรกระจายตำแหน่งไปทุกตัวเลือกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการเดาคำตอบจากรูปแบบหรือตำแหน่งของตัวเลือก
36. ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ที่ยอมรับได้มีค่าเท่าใด
ตอบ ค. 0.50 ถึง 1.00 คำอธิบาย: ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ที่ยอมรับได้มีค่าตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป ซึ่งแสดงว่าข้อสอบมีความสอดคล้องกับจุดประสงค์หรือเนื้อหาที่ต้องการวัด
37. ในการสร้างข้อสอบอัตนัย สิ่งใดสำคัญที่สุด
ตอบ ข. ความชัดเจนของคำถามและเกณฑ์การให้คะแนน คำอธิบาย: ในการสร้างข้อสอบอัตนัย สิ่งสำคัญที่สุดคือความชัดเจนของคำถามที่ระบุขอบเขตและประเด็นที่ต้องการให้ตอบ และมีเกณฑ์การให้คะแนนที่ชัดเจน เพื่อให้การตรวจให้คะแนนมีความเป็นปรนัยมากที่สุด
38. การตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบด้วยวิธี Known Group Technique เป็นการตรวจสอบคุณภาพด้านใด
ตอบ ข. ความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้าง คำอธิบาย: วิธี Known Group Technique เป็นการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้าง โดยนำแบบทดสอบไปทดสอบกับกลุ่มที่คาดว่าจะมีคุณลักษณะที่แตกต่างกันในเรื่องที่ต้องการวัด แล้วดูว่าผลการวัดสามารถแยกกลุ่มได้ตามทฤษฎีหรือไม่
39. ในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ควรสร้างจำนวนข้อมากกว่าที่ต้องการใช้จริงประมาณร้อยละเท่าใด
ตอบ ข. 20-25% คำอธิบาย: ในการสร้างแบบทดสอบ ควรสร้างข้อสอบมากกว่าที่ต้องการใช้จริงประมาณ 20-25% เพื่อให้มีข้อสอบสำรองในกรณีที่มีข้อสอบบางข้อที่ไม่มีคุณภาพตามเกณฑ์หลังจากการวิเคราะห์ข้อสอบ
40. วิธีการหาความเชื่อมั่นแบบแบ่งครึ่งข้อสอบ (Split-Half Method) มีข้อจำกัดในด้านใด
ตอบ ข. ได้รับผลกระทบจากความยาวของแบบทดสอบ คำอธิบาย: วิธีการหาความเชื่อมั่นแบบแบ่งครึ่งข้อสอบมีข้อจำกัดคือ ค่าความเชื่อมั่นที่ได้จะได้รับผลกระทบจากความยาวของแบบทดสอบ โดยแบบทดสอบที่มีจำนวนข้อน้อยจะมีค่าความเชื่อมั่นต่ำกว่าแบบทดสอบที่มีจำนวนข้อมาก
ส่วนที่ 5: การประยุกต์ใช้การวัดและประเมินผลในชั้นเรียน
41. การประเมินผลที่สอดคล้องกับแนวคิดเรื่องการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 คือข้อใด
ตอบ ค. การประเมินตามสภาพจริงที่เน้นทักษะการคิด การแก้ปัญหา และการทำงานร่วมกัน คำอธิบาย: การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เน้นทักษะการคิด การแก้ปัญหา การทำงานร่วมกัน การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยี ดังนั้นการประเมินผลจึงควรเน้นการประเมินตามสภาพจริงที่วัดทักษะเหล่านี้
42. ข้อใดคือประโยชน์ของการให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) ในการประเมินผล
ตอบ ข. ช่วยให้ผู้เรียนทราบจุดเด่น จุดด้อยและแนวทางการพัฒนา คำอธิบาย: การให้ข้อมูลย้อนกลับมีประโยชน์ในการช่วยให้ผู้เรียนทราบจุดเด่น จุดด้อยของตนเอง และมีแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงการเรียนรู้ของตนเอง
43. การนำผลการประเมินมาใช้ปรับปรุงการเรียนการสอนเป็นแนวคิดของการประเมินรูปแบบใด
ตอบ ค. การประเมินย่อย (Formative Evaluation) คำอธิบาย: การประเมินย่อยหรือการประเมินเพื่อพัฒนา (Formative Evaluation) เป็นการประเมินระหว่างการเรียนการสอน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อนำผลมาปรับปรุงการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
44. “การจัดทำแฟ้มสะสมงานของผู้เรียนที่แสดงถึงพัฒนาการและความก้าวหน้าในการเรียนรู้” มีความสอดคล้องกับหลักการประเมินผลข้อใด
ตอบ ก. การประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment) คำอธิบาย: การจัดทำแฟ้มสะสมงานเป็นการเก็บรวบรวมผลงานของผู้เรียนอย่างเป็นระบบ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการประเมินตามสภาพจริงที่เน้นการประเมินจากผลงาน กระบวนการ และพัฒนาการของผู้เรียน
45. ข้อใดเป็นการนำผลการประเมินไปใช้อย่างเหมาะสม
ตอบ ค. ครูนำผลการทดสอบย่อยมาวิเคราะห์หาจุดบกพร่องและจัดกิจกรรมซ่อมเสริม คำอธิบาย: การนำผลการทดสอบย่อยมาวิเคราะห์หาจุดบกพร่องของผู้เรียนและจัดกิจกรรมซ่อมเสริมเป็นการนำผลการประเมินไปใช้อย่างเหมาะสม ซึ่งช่วยพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน
46. การประเมินผลเพื่อวินิจฉัย (Diagnostic Evaluation) มีจุดมุ่งหมายหลักคือข้อใด
ตอบ ข. เพื่อค้นหาจุดบกพร่องและสาเหตุของปัญหาในการเรียนรู้ คำอธิบาย: การประเมินผลเพื่อวินิจฉัยมีจุดมุ่งหมายเพื่อค้นหาจุดบกพร่องหรือข้อจำกัดในการเรียนรู้ของผู้เรียนและสาเหตุของปัญหา เพื่อนำไปสู่การแก้ไขและพัฒนาผู้เรียนได้อย่างตรงจุด
47. การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการวัดและประเมินผลมีประโยชน์อย่างไร
ตอบ ข. ลดภาระงานของครูและประมวลผลได้รวดเร็ว คำอธิบาย: การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการวัดและประเมินผลช่วยลดภาระงานของครู ประหยัดเวลาในการตรวจและประมวลผล สามารถวิเคราะห์ผลได้รวดเร็วและแม่นยำ รวมทั้งสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้หลากหลายรูปแบบ
48. ข้อใดเป็นปัญหาที่พบบ่อยในการวัดและประเมินผลในชั้นเรียน
ตอบ ค. การวัดและประเมินไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ คำอธิบาย: ปัญหาที่พบบ่อยในการวัดและประเมินผลในชั้นเรียนคือ การวัดและประเมินผลไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ ทำให้ไม่สามารถวัดได้ว่าผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์หรือไม่
49. นวัตกรรมการประเมินผลที่สอดคล้องกับการจัดการเรียนรู้ในยุคปัจจุบันคือข้อใด
ตอบ ง. การประเมินผลแบบผสมผสานและการประเมินด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล คำอธิบาย: นวัตกรรมการประเมินผลที่สอดคล้องกับการจัดการเรียนรู้ในยุคปัจจุบันคือ การประเมินผลแบบผสมผสานที่ใช้วิธีการและเครื่องมือหลากหลาย รวมทั้งการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการประเมิน เช่น e-Portfolio, Digital Assessment Tools, Learning Analytics เป็นต้น
50. การประเมินเพื่อการเรียนรู้ (Assessment for Learning) แตกต่างจากการประเมินผลการเรียนรู้ (Assessment of Learning) อย่างไร
ตอบ ก. การประเมินเพื่อการเรียนรู้เน้นการนำผลมาพัฒนาการเรียนการสอนระหว่างทาง ส่วนการประเมินผลการเรียนรู้เน้นการตัดสินผลเมื่อสิ้นสุดการเรียน คำอธิบาย: การประเมินเพื่อการเรียนรู้ (Assessment for Learning) เป็นการประเมินระหว่างการเรียนการสอน เพื่อนำผลมาใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนและผู้เรียน ส่วนการประเมินผลการเรียนรู้ (Assessment of Learning) เป็นการประเมินเมื่อสิ้นสุดการเรียนการสอน เพื่อตัดสินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ครูผู้ช่วย อปท. กลุ่มวิชาต่างๆ
แนวข้อสอบ วิชาการวัดและประเมินผลการศึกษา (50 ข้อ) พร้อมเฉลย

